โหมดบำรุงรักษาเป็นโหมดการทำงานหนึ่งของเว็บไซต์เพื่อลดผลกระทบการใช้งานเว็บไซต์ระหว่างที่มีการปรับปรุงระบบ สำหรับ WordPress นั้นจะเปิดใช้โดยอัตโนมัติระหว่างที่มีการอัพเกรดเวอร์ชั่นของ WordPress, Plug-in หรือ Theme หากแต่จะเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งรูปด้านล่างจะเป็นหน้าจอโดยปริยายของ WordPress (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งจะมีเพียงตัวหนังสือเท่านั้น
Continue reading
Category Archives: Diary
How to force eject a stuck cd/dvd in Macs
เนื่องจากซ่อมเครื่อง iMac แล้วแผ่นมัน Snow Leopard ที่ซื้อมามันติดอยู่ในเครื่องแล้วเครื่องเจ้ากรรมมันก็บูตไม่ได้แล้วด้วย สุดท้ายเลยนั่งหาข้อมูลเพื่อดึงแผ่นออก ซึ่งวิธีการก็ไม่ได้มีอะไรพิศดาร แค่ Interface มันเป็น Slot Load แค่นั้น
ก่อนอื่นเตรียมกระดาษ A4 1 แผ่น พับให้ขนาดเท่ากับปุ่ม delete บนเครื่อง รีดให้แบนพอประมาณ เนื่องจากต้องการความแข็งสักหน่อย ทำไมต้องใช้กระดาษก็เพราะถ้าใช้แผ่นพลาสติกหรือวัสดุอื่นอาจจะเข้าไปโดนชิ้นส่วนด้านในเสียหายครับ อีกอย่างกระดาษมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตน้อยมาก
จากนั้นก็เอาแผ่นกระดาษที่พับแล้วแหย่เข้าไปในด้านขวาสุดฝั่งตรงข้ามกับช่องทำหรับล็อคเครื่อง (Kensington Security Slot) แหย่เข้าไปสัก 1.5 นิ้วครับจากนั้นจะได้ยินเสียงที่เครื่องกำลังจะดันแผ่นออกที่รอคอยครับ
ถ้าเครื่องปิดอยู่ก็เปิดซะก่อน เนื่องจากเป็น slot-load เลยต้องใช้กระแสไฟฟ้าสำหรับดันแผ่นออกมาด้วยครับ
eclipse configurations for OpenCV in Mac OS X 10.7
บันทึกไว้กันลืม เพราะพึ่งเคยใช้ CDT (C/C++ Development Tooling) บน eclipse แล้วยิ่ง C/C++ นี่มากสุดก็แค่คำนวณ Arithmetics ธรรมดา แต่ช่วงนี้ต้องเอา C/C++ มาใช้งานในเชิงคำนวณหนักๆ อย่างเช่น OpenCV ด้วยแล้วก็กระอัดเลือดเหมือนกัน ส่วนปัญหาที่เจอคือทุกครั้งที่คอมไฟล์จะเจอข้อความด้านล่าง ทั้งๆ ที่ก็กำหนดทุกอย่างไว้อย่างที่ฝรั่งส่วนใหญ่บอกแล้ว
ld: symbol(s) not found for architecture x86_64
ซึ่งเท่าที่หาดูเป็นเพราะสถาปัตยกรรมของ CPU ที่ใช้อยู่ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเพราะ OS ที่ทำงานแบบ 64-bit mode เลยหาทางทุกวิธีที่จะเปลี่ยนให้ 10.7 ทำงานในแบบ 32-bit mode สุดท้ายเลยพบว่า ต้องใช้ -arch เพื่อระบุ architecture ที่ต้องการ ซึ่งค่าที่เป็นไปได้คือ i386
, x86_64
, ppc
, ppc64
ซึ่งค่าที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาด้านบนคือ x86_64
เนื่องจาก OS X 10.7 นั้นทำงานในแบบ 64-bit (x86_64) โดย default (ย่อหน้านี้อาจจะดูมืนๆ เมาๆ หน่อย เพราะยังเข้าใจแบบนี้อยู่) ดังนั้นจึงต้องระบุค่าเพิ่มเข้าในช่วงคอมไฟล์เป็น
-arch x86_64
OS X 10.7 in 32-bit Mode
ฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะตอนนี้งานที่ต้องทำรองรับแค่ 32-bit จะเกิดปัญหาเมื่อระบบปฏิบัติการเป็น 64-bit ซึ่งตอนนี้ใช้ OS X 10.7 โดยปกติแล้ว 10.7 จะบูตเครื่องขึ้นมาแล้วทำงานแบบ 64-bit ตอนแรกยังคิดไปว่าท่าทางจะต้องกลับไปใช้ 10.6 ซะแล้ว แต่ก็เห็นมีคนตั้งคำถามใน Apple Support Communities เหมือนกันว่าถ้าอยากให้ 10.7 ทำงานในรูปแบบ 32-bit จะทำได้ไหม และทำอย่างไร สุดท้ายก็มีคนมาตอบครับ โดยอ้างจากข้อมูลช่วยเหลือของ Apple อีกที การสลับไปมาง่ายมากครับ ถ้าต้องการสลับไปเป็น 32-bit ก็ให้รีบูตเครื่องใหม่แล้วกดปุ่ม 3 และปุ่ม 2 ค้างไว้ และถ้าต้องการให้ 10.7 ทำงานในแบบ 64-bit ก็กดปุ่ม 6 และปุ่ม 4 ค้างเอาไว้ตอนบูต แต่ข้อมูลด้านบนเป็นข้อมูลสำหรับ Mac OS X 10.6 ครับ แต่ผมใช้ 10.7 แต่หลังจากลองดูแล้วก็ได้ผลเป็นตามรูปครับ คือสามารถบูต 10.7 ให้ทำงานในแบบ 32-bit ได้
ซึ่งวิธีการนี้เป็นการแก้ไขแบบชั่วคราวค่าทั้งหมดจะกลับคืนมาเป็นปกติเมื่อรีบูตเครื่องครั้งต่อไป แต่ถ้าต้องการแก้ไขให้เครื่องทำงานในแบบ 32-bit หรือ 64-bit อย่างถาวรให้แก้ไขด้วคำสั่ง
$ sudo systemsetup -setkernelbootarchitecture x86_64
เพื่อบังคับให้ทำงานในแบบ 64-bit ซึ่งเป็นค่า default ของ 10.7
$ sudo systemsetup -setkernelbootarchitecture i386
เพื่อบังคับให้ทำงานในแบบ 32-bit
ข้อมูลอ้างอิง: Apple Support – Mac OS X v10.6: Starting up with the 32-bit or 64-bit kernel
Install wget in OS X
พอดีว่าชอบโปรแกรมช่วยดาวน์โหลดที่ชือว่า wget ที่ทำงานใน Linux เอามาก ส่วนใหญ่จะมากับ Linux Distro อื่นๆ แต่กับ OS X แล้วไม่ได้ใส่ลงมาด้วย เลยต้องไปหามาดาวน์โหลดเอาเอง ซึ่งก็ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรสลับซับซ้อนมากนัก
Continue reading
10 เรื่องที่อยากทำปี 2554
มีหลายเรื่องที่อยากทำเหมือนกัน แต่ว่าเอาเรื่องเด่นๆ ที่อยากได้ทำจริงๆ ดีกว่า
- HTML5 เป็นอย่างแรกที่นึกขึ้นได้จริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ออกมาเป็นมาตรฐานอย่างเต็มตัวแต่ว่าก็ใช้กันค่อนข้างอย่างแพร่หลายแล้ว ซึ่งนอกจาก HTML5 เอง ก็คงต้องเป็น CSS3 + JavaScritp (ให้มากกว่านี้มาก)
- Scala & RoR ความจริงแล้วปีนี้ก็ตั้งใจไว้เหมือนกันจะอ่าน 2 ภาษานี้ แต่จนแล้วจนก็ยังไม่ได้เรียนสักที ปีนี้เลยกะว่าอย่างน้อยก็ให้ได้สักภาษาใดภาษาหนึ่งแล้วกัน
- หัดขับรถ (สักที) คงต้องหัดขับไว้ก่อน ถึงรถจะยังไม่มีก็ตาม แต่คงยังไม่สอบใบขับขี่แน่ๆ ขอแค่ให้ขับเป็นก่อนแล้วกัน
- หาข้อมูลเรียนต่อ ป.โท เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บอกพี่หัวหน้าไว้ตั้งแต่ตอนเข้าทำงานปีแรกๆ จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรียนต่อโทสักที อีกอย่างคงต้องเป็นทุนคนอื่นด้วย ถ้าจะให้จ่ายเองก็ยังดีกว่า ฮาๆ (แอบงง)
- Java ขั้นสูง ถึงทุกวันนี้จะทำงานโดยใช้ Java เป็นหลัก แต่ยังคิดว่ารู้จัก Java แค่ผิวเผิน เพราะรู้สึกว่าภาษาของผมนี่เป็นแบบครูพักลักจำจริงๆ ทำให้อยากรู้จักกับโครงสร้างและการทำงานของ Java ให้ดีมากขึ้นกว่านี้
- Cocoa and Cocoa Touch ปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่อ่าน Objective-C ได้มากที่สุดตั้งแต่ตั้งใจมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้ลองเขียนโปรแกรมลงมือถือมากขึ้นและกำลังจะต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องทำในงานหลักด้วยจากเดิมคิดว่าน่าจะเป็นของเล่นตอนว่างๆ เท่านั้น แต่พอลองจับมันจริงๆ จังๆ ก็รู้เลยว่ามันสนุกดีแฮะ ถ้าเทียบกับเขียนโปรแกรมบน Android แล้ว รู้สึกได้เลยว่าการเขียนโปรแกรมบน iOS ใช้พลังงานน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
- หาอาชีพเสริม (สักที) เพราะปีนี้เริ่มจัดงานกับเวลาได้ลงตัวมากขึ้นแล้ว เลยอยากลองหาอาชีพเสริมทำอยู่เหมือนกัน คงไม่พ้นงานที่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมนี่ล่ะนะ ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เคยรับงานนอกก็เพราะคิดว่ายังไม่กล้าบอกใครได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเก่งอะไรกันแน่ ส่วนปีนี้ที่อยากลองรับดูบาง แค่อยากลองก็เท่านั้น คงเป็น WordPress, iOS Dev., Web Application (PHP) ไม่พ้นพวกนี้ล่ะ
- อ่านหนังสือให้หมด ปีที่ผ่านมานี้รู้สึกว่าตัวเองบ้าซื้อหนังสือมาก 10 กว่าเล่มเห็นจะได้ ทั้งแบบ Hard Copy แล้วก็แบบ e-book ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะซื้อมาอ่านเพื่อบนมือถือซะมากกว่า ทำให้ตอนนี้เล็งๆ iPad 2 ไว้เหมือนกัน เฮ้ออ เสียเงินอีกแล้ว :)
- เรียนภาษาเพิ่ม ปีนี้เป็นปีที่รู้สึกดีกับภาษาตัวเองมาก เพราะอ่านและฟังภาษาอังกฤษตอนนี้ถือว่าใช้ได้แล้ว ผิดกับแต่ก่อนที่จะอ่านส่วนฟังนี่จะจับใจความได้ประมาณ 40-50% ส่วนตอนนี้ก็เริ่มฟังเข้าใจประมาณ 80-90% แล้ว ส่วนเรื่องพูดกับเขียนนี่ยังไม่ดีเท่าทีควร ต้องของคุณ Podcast ทั้งหลายที่โหลดมาฟังจริงๆ
- ไปเที่ยวคนเดียว ดูรายการ “หนังพาไป” แล้วอยากลองไปเที่ยวคนเดียวดูเหมือนกัน คงเริ่มต้นด้วยการเที่ยวในประเทศคนเดียวนี่ล่ะ แล้วค่อยๆ ลามไปประเทศเพื่อนบ้านเล็งๆ เขมรกับลาวก่อนเลย แล้วค่อยไปประเทศแถวๆ เอเชียนี่ล่ะ แต่ก่อนอื่นก็คงต้องไปทำ Passport ให้ได้ก่อน
วิธีการแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตสำหรับ OS X
พอดีว่าช่วงนี้ยกเลิกเน็ตที่หอไป (เนื่องด้วยเพราะความห่วยของบริษัทที่ดูแลเน็ตเวิร์ค) ตอนนี้เลยเปลี่ยนมาใช้มือถือหรือไม่ก็ 3G Aircard แทน แต่เพราะว่าในห้องมีอุปกรณ์หลายอย่างที่อยากใช้อินเทอร์เน็ตบ้าง ก็เลยหาวิธีแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตตามนี้
- เริ่มแรกด้วยการเข้าไปที่ System Preferences ในส่วนของ Internet & Wireless ให้เลือก Sharing
- ในหน้า Sharing ให้เลือก ที่หัวข้อ Internet Sharing (สังเกตที่รูปกุญแจด้านล่างด้วย หาก lock อยู่ให้คลิ้กและใส่รหัสไปก่อนเพื่อปลดล็อคให้เป็นเหมือนในรูป)
จะมีตัวเลือกอยู่ 2 ส่วนที่ต้องทำความเข้าใจคือ
- Share your connection from: จุดเชื่อมต่อหลักที่รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้ามาเพื่อแชร์ออกไปให้กับอุปกรณ์อื่น ในกรณีนี้ผมต้องการแชร์สัญญาณจาก Ethernet Adapter (สายแลน) ผ่านทาง AirPort (Wi-Fi) ตัวเลือกนี้เลยกลายเป็น “Ethernet Adapter” โดยที่ตัวเลือกนี้จะเป็นรายการการเชื่อมต่อที่เครื่องรู้จักในส่วนของ Network (System Preferences > Network)
- To computer using: คือ Connection ที่เราต้องการกระจายสัญญาณออกไป ในที่นี้ผลเลือกเป็น AirPort เพราะต้องการกระจายสัญญาณออกไปแบบ Wi-Fi
- แต่ถ้าไม่ต้องการให้คนอื่นมาขโมยเน็ตเราใช้ด้วยก็ให้เข้าไปที่ AirPort Options เพื่อกำหนดชื่อและรหัสผ่านของ Network ที่เราสร้างขึ้น
- จากนั้นคลิ้กที่ตัวเลือก “Internet Sharing” ในช่องทางฝั่งซ้ายมือเพื่อเริ่มต้นการกระจายสัญญาณ โดยที่ไอคอนรูปสัญญาณ Wi-Fi เราจะเปลี่ยนไป
- สุดท้ายให้ไปที่อุปกรณ์ที่เราต้องการแล้วหา Network ชื่อ Zodiac และใส่รหัสผ่านตามที่ได้ตั้งไว้ในข้อ 3 ซึ่งในตัวอย่างนี้ผมใช้กับมือถือจะเห็น Network ที่ชื่อว่า Zodiac โผล่ขึ้นมา โดยมี IP Address ดังรูป
เขียนไว้กันลืม
ทดสอบด้วย
- OS X 10.6.5
- iPhone 4